ชื่อ ระบำดาวดึงส์
ประเภทการแสดง ระบำ
ประวัติที่มา ระบำดาวดึงส์
เป็นการแสดงมาตรฐานที่เป็นฉบับไทยอีกชุดหนึ่ง
ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ได้ทรงนิพนธ์บทร้องขี้ประกอบการแสดงในบทละครดึกดำบรรพ์
เรื่องสังข์ทอง ตอนที่ ๒ ตอนตีคลี ฉากดาวดึงส์ ในฉากนี้มีพระอินทร์กับพระมเหสีประทับอยู่บนแท่น
พระวิศนุกรรม และพระมาตุลี นั่งอยู่ชั้นลดสองข้าง
พวกคนธรรพ์ประจำเครื่องดนตรีอยู่ด้านหน้า เหล่าเทวดานางฟ้าเข้านั่งเฝ้าสองข้าง
เริ่มเปิดฉากเหล่าเทวดานางฟ้าก็จับระบำถวาย
การแสดงเรื่องนี้จัดแสดงที่ดรงละครดึกดำบรรพ์ ริมถนนอัษฎางค์ (วังบ้านหม้อ)
ปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เนื้อร้องของระบำพรรณนาถึงความงดงามความโอฬารของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
และความมโหฬารตระการตาในทิพย์สมบัติของพระอินทร์ ตลอดจนความงดงามของเหล่าเทวดานางฟ้าในสรวงสวรรค์
หม่อมเข็ม กุญชร ณ อยุธยา (หม่อมเจ้าในพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์)
เป็นผู้ควบคุมฝึกหัดคิดท่ารำ
ต่อมาการแสดงชุดนี้ได้นำมาจัดเป็นชุดเอกเทศ จึงนำออกด้วยเพลงเหาะ
และรำตามเนื้อร้องในเพลงตะเขิ่ง, เจ้าเซ็น แล้วจบท้ายด้วยเพลงรัว
นับเป็นระบำชุดหนึ่งที่ได้ปรับปรุงทางดนตรี และทางรำให้ได้กะทัดรัด
จนเป็นนาฏศิลป์ไทยชุดหนึ่งที่ได้ยึดถือเป็นแบบระบำแสดงความรื่นเริงบันเทิงใจ
ซึ่งศิลปินได้อนุรักษ์ไว้เป็น
รูปแบบ และลักษณะการแสดง
เป็นการรำของเหล่าเทวดานางฟ้า ลักษณะท่ารำที่สำคัญ คือท่ารำจะไม่มีความหมายตรงกับเนื้อร้อง
แต่จะเป็นท่ารำที่มีความสอดคล้องกลมกลืนกันตลอดทั้งเพลง
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ
ท่ารำบางท่าได้ปรับปรุงเลียนแบบท่าเต้นในพิธีแขกเจ้าเซ็น ได้แก่
การใช้ท่ารำยกมือขึ้นประสานไขว้กันไว้ที่อก และขยับฝ่ามือตบอกเบา ๆ
ตามจังหวะพร้อมการเคลื่อนเท้าไปด้วย กล่าวกันมาว่าท่ารำแบบนี้
เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี พระอนุชาของสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์
พระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงประดิษฐ์ขึ้น
เมื่อประมาณสองร้อยกว่าปีมาแล้ว โดยทรงเลียนแบบมาจากการเต้นทุบอกในพิธีเต้นเซ็นของชนนับถือลัทธิศาสนาอิสลาม
นิกายเจ้าเซนวึ่งใรั่งเรียกว่า Shiites โดยทรงปรับท่าทางให้ดูนุ่มนวลอ่อนช้อยไปตามหลักนาฏศิลป์ไทย
ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง
ใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม
เพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดง ได้แก่เพลงเหาะ เพลงรัว เพลงตะเขิ่ง
เพลง
แขกเจ้าเซ็น และเพลงรัว
เครื่องแต่งกาย
ผู้แสดงแต่งกายยืนเครื่อง พระสวมเสื้อแขนสั้น
ศิราภรณ์ชฎายอดชัย นางศิราภารณ์มงกุฏกษัตรีย์
แขกเจ้าเซ็น และเพลงรัว
บทร้องระบำดาวดึงส์
- ปี่พาทย์ทำเพลงเหาะ - รัว -
- ร้องเพลงตะเขิ่ง -
ดาวดึงส์เทวโลกมโหฬาร
สารพัดงามจริงทุกสิ่งอัน
เทพบุตรผุดพรรณโฉมยง
นางอัปสรงอนสงวนนวลละออง เป็นอยู่ที่สำราญฤทัยหรรษ์
สารพันอุดมสมใจปอง
งามทรงองค์อาภรณ์ไม่มีหมอง
งามทรงเครื่องทองและเพชรนิล
-
ร้องเพลงแขกเจ้าเซ็น -
สมเด็จพระอมรินทร์ปิ่นมงกุฎ
รักษาเทวสีมาเป็นอาจิณ
อันอินทรปราสามทั้งสาม
สี่มุขหุ้มมาศสะอาดตา
ช่อฟ้าช้อยเฟื้อยเฉื่อยชด
มุขเด็จทองดาดกนกพัน
ราชยานเวชยันต์รถแก้ว
แอกงอนอ่อนสลวยชวยชด
รายรูปสิงอัดหยัดยัน
ดุมพราววาววับประดับพลอย
เทียมด้วยสินธพเทพบุตร
มาตลีอาจขี่ขับประดัง ทรงวชิราวุธธนูศิลป์
อสุรินทร์อรีไม่บีฑา
ทรงงามสูงเงื้อมกลางเวหา
ใบระกาแกมแก้วประกอบกัน
บราลีที่ลดมุขกระสัน
บุษบกสุวรรณชามพูนท
เพริศแพร้วกำกงอลงกต
เครือขดช่อตั้งบัลลังก์ลอย
สุบรรณจับนาคหิ้วเศียรห้อย
แปรกแก้วกาบช้อยสะบัดบัง
ทั้งสี่บริสุทธิ์ดังสีสังข์
ให้รีบรุดสุดกำลังดังลมพา -
ปี่พาทย์ทำเพลงรัว -
ดนตรีใช้ประการแสดงชุดนี้
ในชั้นต้นใช้วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ซึ่งสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์
ทรงปรับปรุงจากวงปี่พาทย์เครื่องคู่ และเครื่องใหญ่ คือ
ปรับเครื่องดนตรีให้มีเสียงทุ้มนุ่มนวล ไม่แกร่งกร้าวเสียงสูงแหลม เครื่องบรรเลง
ได้แก่ ระนาดเอกตีด้วยไม้นวม ระนาดทุ้ม ระยาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ขลุ่ยเพียงออ
ขลุ่ยอู้ ซออู้ ตะโพน กลองตะโพนคู่ (ถอดเท้าตั้งขึ้น ตีแทนกลองทัด) ฉิ่ง
ฆ้องหุ่ยเจ็ดลูก (๗ เสียงเรียงลำดับ) กลองแขก ต่อมาจัดแสดงเป็นชุดเอกเทศ
จึงได้ใช้วงปี่พาทย์ แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ให้ทำนองเสียงทุ้มนุ่มนวลเช่นเดิม
ส่วนสำเนียงเสียงเพลงดนตรี และเพลงขับร้องบางตอน ก็มีสำเนียงแขกผสมผสานอยู่ด้วย
จึงเรียกเพลงทำนองนี้ว่า " แขกเจ้าเซ็น "
ทำนองเพลงที่ใช้ประกอบลีลาท่ารำ คือ เพลงเหาะ เพลงตะเขิ่ง เพลงเจ้าเซ้น และเพลงรัว
โอกาสที่ใช้แสดง
เริ้มต้นที่ใช้แสดงประกอบละครดึกดำบรรพ์
เรื่องสังข์ทอง ตอนตีคลี ต่อมาได้จัดเป็นชุดระบำเอกเทศ จึงสามารถใช้แสดงในงานต่าง
ๆ ทั่วไปได้
ระบำดาวดึงส์เป็นระบำมาตรฐานที่สร้างสรรค์รูปแบบท่ารำใหม่
แตกต่างจากระบำมาตรฐานแบบดั้งเดิม เช่น
ระบำสี่บทที่ท่ารำตีบทความหมายของคำร้องระบำดาวดึงส์เป็นระบำประกอบในการแสดงละครดึกดำบรรพ์เรื่องสังข์ทอง
ตอนตีคลี ซึ่งจัดแสดงที่โรงละครดึกดำบรรพ์ วังบ้านหม้อ
ปลายสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
บทร้องเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
พรรณนาถึงความงดงามโอฬารของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และทิพยสมบัติของพระอินทร์ หม่อมเข็ม
กุญชร ณ อยุธยา ได้ปรับปรุงท่ารำเลียนแบบท่าเต้นในพิธีแขกเจ้าเซ็น
ซึ่งเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีทรงประดิษฐ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงชุดนี้ ใช้วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ซึ่งสมเด็จฯ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงปรับปรุงแตกต่างจากวงปี่พาทย์เครื่องคู่และเครื่องใหญ่
คือ ลดเครื่องดนตรีบางชิ้นให้มีเสียงทุ้มนุ่มนวล ไม่แกร่งกร้าวเสียงแหลมสูง
เครื่องบรรเลง ได้แก่ ระนาดเอกตีด้วยไม้นวม ระนามทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่
ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยอู้ ซออู้ ตะโพน กลองตะโพนคู่ ( ถอดเท้าตั้งขึ้นตีแทนกลองทัด )
ฉิ่ง ฆ้องหุ่ยเจ็ดลูก (๗ เสียงเรียงลำดับ) กลองแขก ทำนองเพลงประกอบลีลาท่ารำ คือ
เพลงเหาะ เพลงตะเขิ่ง เพลงเจ้าเซ็น เพลงรัว
ในส่วนของการแต่งกาย ตัวพระเทพบุตร แต่งกายยืนเครื่องเต็มตัว
นุ่งผ้ายกตีปีกจีบโจงไว้หางหงส์ทับบนสนับเพลาเชิงงอน
สวมเสื้อรัดรูปปักดิ้นเลื่อมลายกนกแขนสั้นเหนือศอก ติดกนกปลายแขน
สวมเครื่องประดับถนิมพิมพาภรณ์ครบชุด ศิราภรณ์ชฎายอดชัย ตัวนางอัปสร แต่งกายยืนเครื่องนางเต็มตัว
นุ่งผ้ายกจีบหน้านางทิ้งชายพก สวมเสื้อในนางรัดรูป
ห่มผ้าห่มนางเต็มผืนปักดิ้นเลื่อมลายกนก สวมเครื่องประดับถนิมพิมพาภรณ์ครบชุด
ศิราภรณ์มงกุฎกษัตริย์
ลีลาท่ารำจะผสมผสานนาฏศิลป์ไทยกับท่าเต้นทุบอกในพิธีแขกเจ้าเซ็น ท่ารำเข้าคู่พระ -
นาง ในรูปแบบรำหมู่ เพลงเหาะ รัว ใช้แม่ท่านาฏศิลป์ไทย
ต่อจากนั้นเป็นการผสมผสานท่ารำไทยกับท่าเต้นในพิธีเจ้าเซ็น ซึ่งดูสง่างาม
การแสดงชุดนี้ใช้เวลาแสดงประมาณ ๘ นาที
ดีมากครับ
ตอบลบ